วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

หลักการใช้ 12 Passive voice

โครงสร้างของ Passive voice



1. Present Simple Tense = is, am, are, + กริยาช่อง 3

Active  : John writes a letter.

Passive: A letter is written by John.





2. Present Continuous Tense = is, am, are, + being + กริยาช่อง 3

Active  : John is writing a letter.

Passive: A letter is being written by John.




3. Present Perfect Tense = has, have + been + กริยาช่อง 3

Active  : John has written a letter.

Passive: A letter has been written by John.




4. Present Perfect Continuous Tense = has, have + been + being + กริยาช่อง 3

Active  : John has been writing a letter.

Passive: A letter has been being written by John.



5. Past Simple Tense = was, were, + กริยาช่อง 3

Active  : John wrote a letter.

Passive: A letter was written by John. 




6. Past Continuous Tense = was, were, + being + กริยาช่อง 3

Active  : John was writing a letter.

Passive: A letter was being written by John.






7. Past Perfect Tense = had been + กริยาช่อง 3

Active  : John had written a letter.

Passive: A letter had been written by John.




8. Past Perfect Continuous Tense = had been + being + กริยาช่อง 3

Active  : John had been writing a letter.

Passive: A letter had been being written by John.




9. Future Simple Tense = will, shall + be + กริยาช่อง 3

Active  : John will write a letter.

Passive: A letter will be written by John.





10. Future Continuous Tense = will, shall + be + being + กริยาช่อง 3

Active  : John will be writing a letter.

Passive: A letter will be being written by John.



11. Future Perfect Tense = will, shall + have been + กริยาช่อง 3

Active  : John will have been written a letter.

Passive: A letter will have been written by John.




12. Future Perfect Continuous Tense = will, shall+have been+being+ กริยาช่อง 3

Active :John will have been writing a letter.

Passive : A letter will have been being written by John.





สรุป: เพื่อเข้าใจได้ง่ายขึ้น รูปประโยคของ Passive Voice ทั้ง 12 Tense มีดังนี้ 

Present Simple         = S. + is, am, are + Verb 3 + by…..

Present Continuous = S. + is, am, are + being + Verb 3 + by…..

Present Perfect         = S. + has, have + been + Verb 3 + by…..

Present Per. Conti   = S. + has, have + been + being + Verb 3 + by…..


Past Simple            = S. + was, were + Verb 3 + by…..

Past Continuous   = S. + was, were + being + Verb 3 + by…..

Past Perfect           = S. + had + been + Verb 3 +by…..

Past Per. Conti     = S. + had + been + being + Verb 3 + by…..     

Future Simple        = S. + will, shall + be + Verb 3 + by…..

Future Continuous =S. + will, shall + be + being + Verb 3 + by…..

Future Perfect          =S. + will, shall + have + been + Verb 3 + by…..

Future Per. Conti    = S. + will, shall + have + been + being +Verb 3 + by…..
ไปเรียนรู้ด้วยวิดีโอกันเลยย      
( โครงสร้างและการใช้ Passive voice )


(วิธีเปลี่ยน Active voice เป็น Passive voice )


วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

หลักการใช้ Verb to have


หลักการใช้ Verb to have



Verb to have มี 3 ตัวคือ have, has, had

1. ถ้าเป็นกริยาหลักในประโยคจะแปลว่า “มี หรือ กิน”

Has จะใช้กับประธานเอกพจน์
Have จะใช้กับประธานพหูพจน์

เช่น

I’m having dinner with my old friends.
She has two luxury cars.
ในกรณีที่ have has เป็นกริยาหลักแล้วต้องการทำเป็นรูปปฏิเสธหรือคำถาม ให้ใช้กริยาช่วย verb to do เข้ามาช่วยนะคะ ห้ามใส่ not หลัง have / has ไปเลย เพราะhave has ในที่นี้เป็นกริยาหลักไม่ใช่กริยาช่วยนะคะ เช่น

She doesn’t have much money.
I don’t have any pens.
Do you have a car?
** ถ้าประธานเป็นเอกพจน์แล้วใช้ has เมื่อเติม doesn’t เข้าไปจะต้องเปลี่ยน has กลับมาเป็น have เหมือนเดิม

2. เป็นกริยาช่วยใน perfect tense คือโครงสร้าง

have/has/had + V3

เช่น
She has helped me for two hours.
I had locked the door before I left the room.
They have waited for you for three hours.
ถ้าต้องการทำเป็นประโยคปฏิเสธหรือคำถามให้เติม not หลัง verb to have ได้เลยเพราะเป็นกริยาช่วยในประโยค เช่น

They haven’t waited for you for three hours.
I hadn’t locked the door before I left the room.

3. have/had + to จะหมายถึง “จำเป็นต้อง”   เช่น
She has to finish the report by four o’clock.
They have to follow the rules.


4. ใช้ในประโยค causative form ตามโครงสร้างนี้คือ
have someone do something   (ในความหมายว่าให้ใครทำอะไรให้โดยบอกผู้กระทำ)

The teacher has her students clean the room.
คุณครูให้นักเรียนทำความสะอาดห้อง
have something done        (ในความหมายว่าให้ใครทำอะไรให้โดยไม่บอกตัวผู้กระทำ
I had my hair cut.
ฉันไปตัดผมมา (ให้ช่างตัดผม)


5. ในสำนวนที่มีการใช้ verb to have ตามหลังด้วยคำกริยาแล้วมี a นำหน้าคำกริยาตัวนั้นจะมีผลทำให้กริยาตัวนั้นเป็นคำนาม   แปลความหมายโดยยึดกริยาข้างหลัง เช่นMy grandfather has a walk every morning.คุณปู่ออกไปเดินทุกเช้า
I and my friends had a swim in the pool yesterday.
ฉันและเพื่อนๆไปว่ายน้ำที่สระเมื่อวานนี้
I want to have a rest.
ฉันต้องการพักผ่อน

ดูวิดีโอแล้วจะช่วยให้เข้าใจขึ้นน ><
(การใช้ Verb to have  )

(ลองมาใช้เพลงช่วยในการจำVerb to have กัน)


หลักการใช้ verb to do

หลักการใช้ Verb to do

Verb to do มี 3 ตัวคือ do, does, did ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งกริยาหลักและกริยาช่วยในประโยค verb to do สามารถนำไปใช้ได้ดังนี้ค่ะ

1. ใช้เป็นกริยาหลักของประโยคจะแปลว่า “ทำ” เช่น

They do homework before going to bed.
She does the housework alone.
I think I did the best thing for us.



2. เป็นกริยาช่วยของประโยค present simple tense และ past simple tense เพื่อทำให้เป็นประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม   ที่ต้องอาศัย verb to do เข้ามาช่วย เพราะในประโยคบอกเล่าไม่มีกริยาช่วยตัวอื่นเลย วิธีการทำเป็นประโยคปฏิเสธก็ง่ายแสนง่ายคือ เอา not ไปเติม หลัง verb to do แล้ววางไว้หน้ากริยาหลักก็จะทำให้ประโยคกลายเป็นปฏิเสธได้ เช่น
She doesn’t want to quit the job.
I didn’t do homework, so I was punished.
แต่ถ้าต้องการทำเป็นประโยคำถามก็ให้เอา verb to do ไปวางไว้หน้าประโยค ในกรณีที่เป็นประโยคคำถามแบบ yes/no question   เช่น
Did you go to Malaysia last month?
Do you like sausages?
Does she do exercise every day?
** เวลาตอบก็ง่ายแสนง่ายอีกเช่นกัน เช่นถ้าถามว่า
A: Do you like sausages?
B: Yes, I do. / No, I don’t.

A: Does she do exercise every day?
B: Yes, she does. / No, she doesn’t.

แต่ถ้าเป็นประโยคคำถามแบบ Wh-question ให้วางไว้หลัง Wh-question words เช่น
What does she read?
What did she eat last night?


3. ใช้ do, does, did วางไว้หน้าคำกริยาเพื่อแสดงการเน้นว่าต้องทำเช่นนั้นจริงๆหรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เช่น
I do love you.
ผมรักคุณจริงๆ
She does drives to Chonburi alone.
เธอขับรถไปชลบุรีคนเดียวจริงๆ
They did live here two years ago.
พวกเขาอยู่ที่นี่จริงๆเมื่อสองปีที่แล้ว

เรียนรู้ด้วยวิดีโอ...
(การใช้ verb to do)

  (เพลง verb to do)


หลักการใช้ verb to be

 หลักการใช้ verb to be


Verb to be ประกอบไปด้วยทั้งหมด 5 ตัวด้วยกัน
คือ is, am, are, was, were โดยรูป base form ของ verb to be     คือ be เมื่อใช้อย่างกริยาหลักจะแปลว่า "เป็น, อยู่, คือ" เช่น  I’m a teacher.  ฉันเป็นครู

 He is the only one that I care. เขาเป็นคนเดียวที่คนแคร์แต่เมื่อเป็นกริยาช่วยมันจะเอาไปใช้ในกรณีดังต่อไปนี้


1.1 วางไว้หน้าคำคุณศัพท์ เช่น

These girls are afraid of the angry dogs.

She is worried about her exam result.




1.2 ใช้เป็นกริยาช่วยในประโยค continuous tense เพื่อบอกว่า “กำลังทำ” ซึ่งมีทั้งประโยคที่เป็น present continuous ที่เป็นปัจจุบันและ past continuous ที่เป็นอดีต เช่น

Present continuous tense

I’m looking for my key in the room.
She’s jogging in the park.
** เวลาทำเป็นปฏิเสธหรือคำถามให้ใส่ not เข้าไปหลัง verb to be ได้เลย และเมื่อทำเป็นประโยคคำถามให้เอา verb to be มาไว้ข้างหน้า เช่น
They are not playing tennis.
Are you listening to me?
Is she talking on the phone?
Past continuous tense
She was wandering around the stores.
I wasn’t sleeping when he came.
Were they having dinner when someone knocked the door?



1.3 ใช้ในโครงสร้างประโยค passive voice (ประโยคที่ประธานถูกกระทำ) เพราะโครงสร้างประโยคแบบ passive voice คือVerb to be + V3
เช่น Hundreds of people were killed by the flood.
The car was fixed yesterday.
** เวลาทำเป็นปฏิเสธก็ใส่ not หลัง verb to be ได้เลยเช่นกัน เช่น The bridge wasn’t built in 1987.



1.4 วางไว้หน้า infinitive with to แปลว่า “จะ, จะต้อง” เพื่อบอกแผนการ คำสั่ง คำขอร้อง การเตรียมการ เช่น She is to leave now.
เธอจะต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้
We are to be paid at the end of this month.พวกเราอาจจะได้รับค่าจ้างปลายเดือนนี้



1.5 วางไว้หน้าสำนวน about to จะแปลว่า “กำลังจะ” เช่น

She is about to leave.
เธอกำลังจะออกไปแล้ว
I am about to fall down. ฉันกำลังจะล้ม


                " ดูวิดีโอเพิ่มเติมช่วยให้เข้าใจขึ้นนะ "
                            (การใช้verb to be) 


                (สรรพนามที่ใช้กับ verb to be) 


วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

หลักการใช้ 12 Tense


หลักการใช้ Present Simple Tense
ตัวอย่าง
Grandma calls her buddies every day.

ความหมาย
คุณย่า/คุณยายโทรหาเพื่อน ๆ ทุกวัน

การใช้
Present simple tense ใช้พูดถึงกาลปัจจุบัน สภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบัน (general truth) และการกระทำที่เราปฏิบัติเป็นประจำ หรือเป็นกิจวัตร (routine or habit) หรือสิ่งที่เป็นความจริง (fact)


หลักการใช้ Past Simple Tense
ตัวอย่าง
bought a phone last week.

ความหมาย
ฉันซื้อมือถือมาหนึ่งเครื่องเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

การใช้
Past simple tense ใช้กับการกระทำที่ผ่านไปแล้ว
(มักจะมีคำแสดงอดีตกาล เช่น "yesterday" หรือ "five minutes ago" อยู่เสมอ)


หลักการใช้ Future Simple Tense
ตัวอย่าง
will watch a movie tomorrow night.
(will = มั่นใจว่าจะ)

ตัวอย่าง
am going to watch a movie tomorrow night.
(going to = ตั้งใจว่าจะ)

ความหมาย
ฉัน(จะ)ดูหนังสักเรื่องคืนพรุ่งนี้

การใช้
Future simple tense ใช้กับการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
(มักจะมีคำแสดงอนาคตอยู่ด้วย เช่น "tomorrow", "in a few minutes" หรือ "next week")


หลักการใช้ Present Continuous Tense
ตัวอย่าง
Freddy is watching a movie.

ความหมาย
Freddy กำลังดูหนังอยู่

การใช้
ใช้ present continuous เมื่อการกระทำนั้นกำลังดำเนินอยู่

ตัวอย่าง
We are coming back home tonight.

ความหมาย
พวกเราจะกลับมาที่บ้านคืนนี้

การใช้
ใช้ present continuous แสดงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต


หลักการใช้ Past Continuous Tense
ตัวอย่าง
Somebody farted when I was doing my exam.

ความหมาย
มีคนบางคนผายลม ขณะที่ฉันกำลังสอบ

การใช้
ใช้ past continuous ตอนมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อน ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในอดีต แล้วมีอีกเหตุการณ์เกิดซ้อนขึ้นมาในเวลาสั้น ๆ

ตัวอย่าง
was eating a custard apple at one in the afternoon.

ความหมาย
ฉันกำลังกินน้อยหน่าอยู่ ตอนบ่ายโมง

การใช้
ใช้ past continuous กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่อย่างชัดเจน ณ เวลาหนึ่งในอดีต


หลักการใช้ Future Continuous Tense
ตัวอย่าง
When you call, I will be sleeping.

ความหมาย
ตอนคุณโทรมา ฉัน (คง) จะกำลังหลับอยู่

การใช้
Future continuous ใช้ก้บเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ตัวอย่าง
They will be playing cards tonight.

ความหมาย
พวกเขา (คง) จะกำลังเล่นไพ่คืนนี้

การใช้
Future continuous ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ตามเวลาที่ระบุไว้


หลักการใช้ Present Perfect Tense
ตัวอย่าง
have added 8 new friends on Facebook.

ความหมาย
ผมaddเพื่อนใหม่ในFacebookไป 8 คน

ตัวอย่าง
haven't finished my work yet.

ความหมาย
ผมยังทำงานไม่เสร็จ

การใช้
ใช้ present perfect ตอนพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วดำเนินเรื่อยมาจนจบในปัจจุบัน เมื่อพูดจบ


หลักการใช้ Past Perfect Tense
ตัวอย่าง
had cleaned my room before my friends arrived.

ความหมาย
ผมได้ทำความสะอาดห้อง ก่อนเพื่อนฝูงมาถึง

การใช้
ใช้ past perfect เมื่อมีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นก่อนและจบลง อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทีหลัง แต่ทั้งสองเหตุการณ์ได้จบสิ้นไปแล้ว (เหตุการณ์แรก ใช้ past perfect tense ส่วนเหตุการณ์ที่สอง ใช้ past simple tense)

ตัวอย่าง
had never watched Harry Potter until yesterday.

ความหมาย
ผมไม่เคยดู Harry Potter จนกระทั่งเมื่อวาน

การใช้
Past perfect ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต


หลักการใช้ Future Perfect Tense
ตัวอย่าง
The skytrain will have left before you get to the platform.

ความหมาย
เมื่อคุณไปถึงชานชาลา รถไฟฟ้าคงจะออกไปแล้ว

การใช้
ใช้ future perfect tense เมื่อต้องการจะบอกว่า เหตุการณ์หนึ่งได้จบสิ้นลง เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคต


หลักการใช้ Present Perfect Continuous Tense
ตัวอย่าง
The kids have been playing for a long time.

ความหมาย
เด็ก ๆ เล่นมานานมากแล้ว (มีทีท่าว่าจะเล่นต่อ)

การใช้
ใช้ present perfect continuous เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่จบ เพราะยังคงต่อเนื่องไปถึงอนาคต


หลักการใช้ Past Perfect Continuous Tense
ตัวอย่าง
Before I went to sleep, I had been swimming for an hour.

ความหมาย
ฉันว่ายน้ำมาหนึ่งชั่วโมง ก่อนฉันไปนอน

การใช้
Past perfect continuous ใช้ได้ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ ขณะที่เหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น


หลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense
ตัวอย่าง
By next year I will have been teaching English for 5 years.

ความหมาย
เมื่อถึงปีหน้า ผมก็จะสอน (ติดต่อกันมา) ครบ 5 ปี (และผมก็จะสอนต่อไปอีก)

การใช้
ใช้เมื่อต้องการจะบอกว่า ณ เวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์หนึ่งซึ่งดำเนินมาก่อนนั้นยังคงดำเนินอยู่ และจะดำเนินต่อใปอีก
ไปเรียนรู้ด้วยวิดีโอกันนนน ><
(การใช้ Tense ทั้ง12)



(เพลง Tense ทั้ง12)


(ฝึกทำโจทย์เรื่อง Tense กันน)


วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Profile

สวัสดี...

 เราชื่อพรรณรัตน์   ทัดเทียม

วันนี้
เราจะมาพาพวกคุณไปสนุกกับภาษาอังกฤษกัน

เริ่มเรียนรู้กันเลยยยย >>>




โครงสร้าง 12 Tense


" โครงสร้าง TENSE"
โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้

Present  Tense

                        S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present]    S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
                   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
                   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).

Past Tense

                   S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past]         S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
                   S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                   S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense

                      S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature]       S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
                      S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
                       S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).



"ถ้าการอ่านมันน่าเบื่อก็ไปเรียนรู้ด้วยวิดีโอกันเล้ยยยย"


(โครงสร้าง Tense ทั้ง12)




(หัวใจ Tense)